เราพร้อมบริการ “บริการด้วยใจ ใส่ใจคุณภาพ ราคายุติธรรม”
AUN AUTO SERVICE
บริการของเรา
ระบบแอร์รถยนต์
วิเคราะห์ช่วงล่าง
ถ่ายน้ำมันเครื่อง
เบรค และครัชท์
แบตเตอรี่
หม้อน้ำ ความร้อน
แหล่งความรู้
เรื่องเข้าใจผิด...กับการล้างตู้แอร์
- ความเข้าใจผิด ถ้าแอร์ยังมีลมออก มีความเย็น อย่าไปล้างเดี๋ยวตู้จะรั่ว ใช้ไปเถอะจนกว่าจะไม่มีความเย็นแล้วค่อยซ่อมทีเดียว ถ้ามาถอดล้าง เดี๋ยวตู้รั่ว ถ้าตู้แอร์รั่วมาก่อนแล้ว ล้างยังไงก็ต้องรั่ว แต่ที่ไม่ปรากฏอาการ เพราะเจ้าฝุ่นไปอุดรอยรั่วนั้นอยู่ พอล้างเอาฝุ่นออก รอยรั่วจึงปรากฏ ดังนั้นการล้างตู้แอร์จึงไม่เหมาะกับรถที่ไม่เคยล้างตู้แอร์มานาน เพราะเจ้าของรถส่วนใหญ่จะพูดว่า ก่อนทำไม่เห็นเป็นเลย (เราเองก็ใช้ประโยคนี้บ่อยเหมือนกัน) คราวนี้ต้องมาดูว่าตู้แอร์รั่วได้อย่างไร ความจริงส่วนที่รั่วก็คือแผงคอยล์เย็นในตู้แอร์ เมื่อมันอยู่ในตู้แอร์มิดชิดขนาดนั้น การทีจะไปกระแทกจนรั่วคงเป็นไปได้ยาก แผงคอลย์เย็นจะทำมาจากอลูมิเนียม เป็นซี่ๆ เรียงตัวเหมือนหม้อน้ำรถยนต์ ที่มาของการรั่วก็คือ ฝุ่น คราบสกปรก ที่เกาะอยู่บนคอยล์เย็น ทำปฎิกิริยากับความชื้น...Read More
วิธีทำความสะอาดตู้แอร์
ปัจจุบัน การทำความสะอาดตู้แอร์ มี 4 วิธี
- การล้างตู้แอร์แบบถอดตู้ ต้องรื้อตู้แอร์ แล้วเอาคอยล์เย็นมาล้างข้างนอก น้ำยาทำความสะอาดแตกต่างกันไปแล้วช่างจะใช้อะไรเพื่อประหยัดต้นทุน ที่ราคาถูกๆ เขาก็คงใช้ผงซักฟอก โซดาไฟ พวกนี้จะล้างออกยาก ดังนั้นเวลาประกอบกลับ เปิดแอร์ จะรู้สึกว่ามีกลิ่นผงซักฟอก เจ้ากลิ่นนี้บอกอะไรเรา อันดับแรก สารทำความสะอาดล้างออกไม่หมด สามารถกัดกร่อนคอยล์เย็นได้ อันดับสอง สารทำความสะอาดที่สูดเข้าไป ไม่ส่งผลดีต่อระบบทางเดินหายใจของเราเลย ถ้าคนแพ้ ก็อาจแสบตา แสบจมูกได้ ก็อย่างว่า...Read More
ตู้แอร์กับสุขภาพของคุณ
การดูแลทำความสะอาดตู้แอร์รถยนต์ นอกจากจะช่วยยืดอายุคอมแอร์ และลดปัญหาตู้รั่วแล้ว ยังเป็นการใส่ใจสุขภาพที่สำคัญ เชื่อหรือไม่ว่า ตู้แอร์ไม่เพียงแค่เป็นแหล่งรวมของฝุ่นละออง แต่ยังเป็นที่อยู่ของเชื้อโรค เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย หลายชนิด ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพคุณและครอบครัว ลองมาดูสิว่า ตู้แอร์สกปรกมีผลต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง แล้วคุณจะไม่ปฏิเสธการล้างตู้แอร์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง อีกต่อไป
ถ้าสุขภาพคุณคือเครื่องดูดฝุ่นราคาแพง
ฝุ่นจากภายนอกรถจะเข้ามาในระบบแอร์ทุกครั้งที่เปิดแอร์ ยิ่งขับรถในกรุงเทพฯ ฝุ่นละอองเยอะแยะไปหมด เมื่อฝุ่นละอองมาเกาะอยู่ตามแผงคอยล์เย็นในตู้แอร์ (เหมือนกับฝุ่นที่เกาะอยู่บนแผ่นฟิลเตอร์ของแอร์บ้าน) ทุกครั้งที่เปิดแอร์ ลมแอร์ก็จะพัดเอาฝุ่นเล็กๆ เข้ามาในห้องโดยสาร...
Read Moreคำถามที่พบเจอบ่อย
สาระน่ารู้
- ช่วยให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
- ยืดอายุคอมแอร์
- ยืดอายุตู้แอร์
- ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง
- ลดโอกาสการเกิดโรคภูมิแพ้
การล้างแอร์รถยนต์นั้นขึ้นอยู่กับการใช้งานรถยนต์ของแต่ละคน เช่น เส้นทางการใช้งาน มีสภาพถนนอย่างไร ฝุ่นมากหรือไม่ ลุยน้ำหรือเปล่า แต่ตามปกติประมาณ 1 ปีขึ้นไป หรือ 20,000 กิโลขึ้นไป
การล้างแอร์รถยนต์แบบไม่ถอดตู้ ช่วยให้ทำความสะอาดง่าย รวดเร็ว ล้างด้วยเครื่องล้างตู้แอร์รถยนต์อัตโนมัติ และใช้น้ำยาล้างเฉพาะเครื่องล้างอัตโนมัติไม่ผสมผงซักฟอกและโซดาไฟ
ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องก่อนที่น้ำมันเครื่องจะหมดอายุ หรือเสื่อมคุณภาพแต่ระยะเวลาหรือระยะทางเท่าไรนั้นควนปฏิบัติตามคู่มือประจำรถ ซึ่งอาจดูที่ไฟเตือนให้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องออยล์เซอร์วิส (oil service) ที่หน้าปัดบอกว่าถึงเวลาเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองน้ำมันเครื่องได้แล้ว เพราะรถวิ่งใช้งานมาเกือบจะถึง 10,000 กิโลเมตร
- ระดับน้ำในหม้อน้ำต่ำเกินไป ควรตรวจระดับน้ำในหม้อน้ำทุก 3-4 วัน ต่อครั้ง
- สายพานหย่อน ขาด ลื่น
- สนิมอุดตัน ในท่อน้ำและในหม้อน้ำ
- อากาศรั่วเข้าไปในระบบระบายความร้อนในหม้อน้ำ
- สวิทช์ เปิดปิดการระบายน้ำร้อนไม่ทำงาน
- ฝาปิดหม้อน้ำเสีย หรือเป็นสนิม
- ประเก็นฝาสูบรั่ว
- จังหวะการจุดระเบิดล่าช้า
- ระดับน้ำมันเครื่อง หรือน้ำมั้นหล่อลื่นต่ำกว่ากำหนด
- ฝุ่นละออง ระบบการกรองอากาศ ตลอดจนช่องเติมน้ำมันเครื่อง อาจเล็ดลอดเข้าไปให้เครื่องยนต์ได้
- เขม่า ถ้าระบบการทำงานของเครื่องยนต์ไม่ดีจะเกิดเป็นเขม่าสะสมอยู่ในน้ำมันเครื่อง
- น้ำ จะมีไอน้ำเกิดขึ้นเมื่อเครื่องยนต์ร้อนไอน้ำ
- กรด การเผาไหม้ของกำมะถัน
- น้ำมันเชื้อเพลิงที่เผาไม่หมด
- เศษโลหะ ที่เกิดจากการสึกหรอตามปรกติ
- การสลายตัวของน้ำมันและสารเพิ่มคุณภาพ
- ความสกปรกในน้ำมันเครื่อง มีผลทำให้คุณภาพน้ำมันเครื่องลดลง
รันอิน เป็น ศัพท์ทางเทคนิค หมายถึง การเดินเครื่องขณะสภาพใหม่ หรือการเดินเครื่องก่อนใช้งานปกติ เพื่อให้รถยนต์ใหม่ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และมีอายุการใช้งานยาวนาน ช่วง 1,000 กิโลเมตรแรก จึงควรปฏิบัติ ดังนี้
- พยายาม สตาร์ทเครื่องครั้งเดียวให้ติดโดยเฉพาะขณะเครื่องเย็น และขณะที่เครื่องยนต์ติดแล้วไม่ควรเหยียบคันเร่งทันทีทันใด หรือ ไม่ควรเบิ้ลเครื่องเด็ดขาด
- สำหรับรถเกียร์ธรรมดา ควรเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็วของรอบเครื่องยนต์ ช่วงประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 2,000-3,000 รอบต่อนาที
- ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติ หลีกเลี่ยงการลดเกียร์ต่ำ และหากเป็นไปได้ไม่ควรเปลี่ยนเกียร์เพื่อลดความเร็วรถ
- อย่าขับรถโดยใช้ความเร็วคงที่นานๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงความเร็วต่ำ หรือ ความเร็วสูง
- ไม่ควรขับรถโดยใช้ความเร็วเกิน 120 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงไม่ให้เครื่องยนต์ทำงานหนัก เช่น บรรทุกหนักมากเกิน วิ่งลากเกียร์ หรือใช้ลากจูงรถคันอื่น
- หลีกเลี่ยงการใช้เบรคอย่างรุนแรง
- ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรอง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเฟืองท้าย ตลอดจนบริการทั่วไปเร็วกว่าปกติ เพราะในช่วงรันอิน เศษโลหะต่างๆ จะหลุดจากชิ้นส่วนที่เสียดสีกันมาปะปนกับน้ำมันหล่อลื่นต่างๆ ในปริมาณที่มากกว่าปกติ
รถยนต์รุ่นใหม่จะนิยมใชัหัวฉีดเพื่อช่วยเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์และประหยัดน้ำมัน ซึ่งมี ELECTRONIC CONTROL UNIT หรือเรียกว่ากล่องคอมพิวเตอร์ ควบคุมการทำงานของหัวฉีด ภายในกล่อง ECU จะประกอบด้วยไอซีหลายๆ ตัวประกอบกันเป็น ไมโครโปรเซสเซอร์ เพื่อควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ในรถยนต์ คุณจึงควรทราบวิธีการดูแลอุปกรณ์อัจฉริยะที่ไม่ยากอย่างที่คิด ดังนี้
- ความร้อนและความชื้น ถ้าไม่จำเป็นควรหลีกเลี่ยงแต่สภาพอากาศแบบบ้านเราคงยากสักหน่อย
- ฝุ่นละอองและความสกปรก รวมทั้งการกระทบกระเทือนรุนแรงซึ่งอาจเป็นสาเหตให้ระบบ ทำงาน ผิดปกติได้
- กระแสไฟฟ้ากระชากอย่างกระทันหันอย่าพยายามใช้สายไฟเขี่ยให้เกิดประกายไฟหรือ ถอดขั่วแบตเตอรี่ ออกขณะเครื่องยนต์ยังติดอยู่เพราะจะทำให้กระแสไฟฟ้าไม่ครบวงจรไม่ว่าจะทำ อะไรก็ตามย่อมไม่เป็นผลดี กับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
- อย่าใช้น้ำฉีดล้างภายในห้องเครื่องยนต์ เพราะแรงดันน้ำอาจเป็นอันตรายกับอุปกรณ์จุดระเบิด
- ระบบน้ำมันเชื้อเพลิงมีความสำคัญกับเครื่องยนต์ที่ใช้หัวฉีดควรเปลี่ยนไส้ กรองเบนซินบ่อย สักหน่อย และไม่ควรใช้น้ำมันเชื้อเพลิงต่ำกว่า1 ใน 4 ของความจุถังน้ำมัน(ดูจาก SCALE ที่หน้าปัดของรถคุณ) ทั้งนี้ เพราะสิ่งสกปรกที่มากับเชื้อเพลิงจะทำอันตรายกับระบบหัวฉีดได้
อุณหภูมิน้ำหล่อเย็นปกติ ควรอยู่ที่ประมาณ 85-100 องศาเซลเซียส เข็มของมาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็น ควรอยู่ประมาณกึ่งกลาง ถ้าอากาศร้อนจัดหรือการจราจรติดขัด อาจเลยขึ้นไปด้านบนได้บ้าง แต่ถ้าขึ้นไปแตะขีดแดง แสดงว่าเครื่องยนต์ร้อนผิดปกติ
- ความร้อนสูงเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ฝาปิดหม้อน้ำเสื่อมสภาพ ปิดไม่สนิท เกิดการรั่วในระบบหล่อเย็น ทำให้มีน้ำไม่เพียงพอต่อการระบายความร้อน ปั๊มน้ำเสีย สายพานขับปั๊มน้ำขาด วาล์วน้ำไม่เปิด หรือท่อทางเดินน้ำบี้แบน-อุดตัน ทำให้น้ำไม่หมุนเวียน พัดลมระบายความร้อนไม่ทำงาน หรือทำงานผิดปกติ หรือรังผึ้งหม้อน้ำมีสิ่งสกปรกอุดตัน ทำให้ระบายความร้อนไม่สะดวก
- หาก สังเกตเห็นมาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นขึ้นสูง ควรนำรถยนต์เข้าจอดในที่ปลอดภัย จากนั้นเริ่มดับเครื่องยนต์ และเปิดฝากระโปรงเพื่อระบายความร้อน ไม่ควรราดน้ำบริเวณเครื่องยนต์หรือหม้อน้ำ เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายได้
- ถ้า มีไอน้ำพุ่งออกมาจากหม้อน้ำ อย่าเปิดฝาหม้อน้ำ เพราะน้ำร้อนมีแรงดันสูง อาจพุ่งขึ้นมาลวกได้ ควรรอประมาณ 15 นาที เพื่อให้เครื่องยนต์คลายความร้อน การเปิดฝาหม้อน้ำควรใช้ผ้าหนา ๆ หรือใช้ผ้ายางปูพื้นในห้องโดยสารมารองมือ เพื่อป้องกันความร้อน และค่อย ๆ หมุนเพื่อระบายความดันออก
- ถ้า ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นเพราะน้ำในหม้อน้ำมีระดับต่ำ ก็ให้เติมน้ำเพิ่มเข้าไป หลังจากเครื่องยนต์ดับไปแล้วสักครึ่งชั่วโมง เพื่อให้เครื่องยนต์คลายความร้อนก่อน ไม่ควรรีบเติมน้ำลงไปทันที เพราะโลหะที่ร้อนจัดเมื่อถูกน้ำเย็น จะหดตัวลงอย่างรวดเร็วจนเกิดการแตกร้าวได้
- ควร เติมน้ำครั้งละประมาณครึ่งลิตร และเว้นช่วงประมาณ 3-5 นาที เพื่อให้น้ำที่เติมลงไป ค่อย ๆ ดึงความร้อนเข้ามา เพื่อป้องกันประเก็นฝาสูบแตกหรือฝาสูบโก่ง
- เมื่อ เติมน้ำใกล้เต็มแล้ว ควรติดเครื่องยนต์ไว้ด้วย เพื่อให้น้ำมีการหมุนเวียนและหมั่นตรวจสอบมาตรวัดอุณหภูมิ เมื่อเติมน้ำจนเต็มแล้ว ให้ตรวจสอบรอยรั่วซึมของน้ำตามจุดต่าง ๆ ถ้าไม่มีและอุณหภูมิลดลงอยู่ในระดับปกติก็เดินทางต่อได้ แต่ถ้าเกิดจากระบบระบายความร้อน เช่น พัดลมบกพร่อง ควรแก้ไขก่อน
- กดรถยนต์ด้านหน้าแล้วปล่อย ถ้ามีอาการเด้งขึ้นลงหลายๆครั้งแสดงว่าโช้คอัพเสื่อมสภาพแล้ว โช้คอัพที่ดีเมื่อออกแรงกดจะยุบตัว และคืนตัวเป็นระดับปกติทันทีโดยไม่มีการเด้งขึ้น ลงหลายครั้ง
- สังเกตรอยรั่วของน้ำมัน ถ้ามีคราบน้ำมันเปรอะเปื้อนบริเวณแกนโช้คอัพ บริเวณซีลโช้คอัพ แสดงว่ามีการรั่วซึมเกิดขึ้น
- ตัวโช้คอัพเกิดรอยบุบ มีการบิดเบี้ยวของกระบอกโช้ค หรือแกนโช้คมีอาการคดงอ
- บริเวณหน้ายางของรถยนต์สึกไม่สม่ำเสมอเป็นบั้ง ทั้งที่ตั้งศูนย์ล้อแล้ว
- หลังจากใช้งาน เมื่อจอดรถให้ใช้มือสอดเข้าไปสัมผัสกับกระบอกโช้คอัพทันที ถ้ากระบอกโช้คอัพมีความร้อน แสดงว่าโช้คอัพยังสามารถใช้งานได้อยู่ แต่ถ้าสัมผัสแล้วกระบอกโช้คอัพมีอุณหภูมิปกติ แสดงว่าโช้คอัพไม่มีการทำงาน
- ขณะเริ่มออกตัวโดยใช้ความเร็วปกติ ถ้าหน้ารถเชิดขึ้น และขณะเบรกที่ความเร็วต่ำหน้ารถทิ่มลง แสดงว่าโช้คอัพเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว
- มีอาการกระเด้งกระดอนขึ้นลง เมื่อรถวิ่งผ่านเนินเล็กๆ หรือคอสะพาน ขณะขับขี่นั้นมีความรู้สึกว่ารถยนต์สั่นไม่นิ่มนวล
- เมื่อรถวิ่งความเร็วสูง(80กม./ชม.) เมื่อถูกลมปะทะด้านข้าง รถจะเสียการทรงตัวไปจากทิศเดิมมากผิดปกติ
หมั่นสังเกตุ สภาพการวิ่งปกติของรถ เช่น การทรงตัว เพราะจะสามารถทราบได้เมื่อรถมีสภาพผิดแปลกไปจากเดิมค่ะ
ทีมงานของเรา
คุณอาท
094-782-4144
บริการด้วยใจ ใส่ใจคุณภาพ บริการหลังการขายดีเยี่ยม ประสบการณ์กว่า 28 ปีในวงการรถยนต์
คุณตี๋
086-376-2909
บริการด้วยใจ ใส่ใจคุณภาพ บริการหลังการขายดีเยี่ยม ประสบการณ์กว่า 28 ปีในวงการรถยนต์