ปิดความเห็น บน เรื่องเข้าใจผิด…กับการล้างตู้แอร์
เรื่องเข้าใจผิด…กับการล้างตู้แอร์
- ความเข้าใจผิด ถ้าแอร์ยังมีลมออก มีความเย็น อย่าไปล้างเดี๋ยวตู้จะรั่ว ใช้ไปเถอะจนกว่าจะไม่มีความเย็นแล้วค่อยซ่อมทีเดียว ถ้ามาถอดล้าง เดี๋ยวตู้รั่ว ถ้าตู้แอร์รั่วมาก่อนแล้ว ล้างยังไงก็ต้องรั่ว แต่ที่ไม่ปรากฏอาการ เพราะเจ้าฝุ่นไปอุดรอยรั่วนั้นอยู่ พอล้างเอาฝุ่นออก รอยรั่วจึงปรากฏ ดังนั้นการล้างตู้แอร์จึงไม่เหมาะกับรถที่ไม่เคยล้างตู้แอร์มานาน เพราะเจ้าของรถส่วนใหญ่จะพูดว่า ก่อนทำไม่เห็นเป็นเลย (เราเองก็ใช้ประโยคนี้บ่อยเหมือนกัน) คราวนี้ต้องมาดูว่าตู้แอร์รั่วได้อย่างไร ความจริงส่วนที่รั่วก็คือแผงคอยล์เย็นในตู้แอร์ เมื่อมันอยู่ในตู้แอร์มิดชิดขนาดนั้น การทีจะไปกระแทกจนรั่วคงเป็นไปได้ยาก แผงคอลย์เย็นจะทำมาจากอลูมิเนียม เป็นซี่ๆ เรียงตัวเหมือนหม้อน้ำรถยนต์ ที่มาของการรั่วก็คือ ฝุ่น คราบสกปรก ที่เกาะอยู่บนคอยล์เย็น ทำปฎิกิริยากับความชื้น พัฒนาจนเป็นกรดสนิมค่อยทำให้อลูมิเนียมอ่อนตัวลง จนสามารถถูกกัดกร่อนได้ สรุปก็คือ ถ้าไม่คิดจะล้างเลย ตู้รั่วแน่นอน
- ความเข้าใจผิด ล้างตู้แอร์ที่ดีต้องเอามาล้างข้างนอก กลิ่นถึงจะหมด กลิ่นหลังการล้างมาได้จากหลายสาเหตุ สารที่ใช้ล้าง วิธีการ จะบอกผลของงานได้อย่างดี เหมือนการซักผ้า ใช้ผงซักฟอกในปริมาณที่เหมาะสม ซักล้างถูกวิธี คุณก็จะได้ผ้าที่สะอาด การทำความสะอาดตู้แอร์ในปัจจุบันมีหลายวิธี แต่ละวิธีมีข้อดีข้อด้อยเหมือนกันบ้างต่างกันบ้าง ถูกและดี คงใช้ไม่ได้ผล คงต้องเลือก ถ้าจะต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้กับการทำความสะอาดตู้แอร์ คุณควรได้อะไรกลับมา บางร้านใช้ผงซักฟอก หรือ โซดาไฟ ล้างแผงคอยล์เย็น ซึ่งผงซักฟอก หรือโซดาไฟ ต้องล้างด้วยน้ำปริมาณเยอะมากถึงจะขจัดออกหมด ถ้ามีตกค้าง ไอระเหยจะมีผลต่อระบบทางเดินหายใจ ดังนั้น ถ้าได้กลิ่นผงซักฟอกเมื่อเปิดแอร์ อย่าเพิ่งดีใจไป เมื่อยังมีคราบตกค้าง ซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อนสูง ดีไม่ดี เร่งโอกาสการเกิดตู้รั่วอีกด้วย หลายครั้งกลิ่นเกิดจากการตกค้างของน้ำที่ล้างทำความสะอาดตู้แอร์ ไม่กี่วันผ่านไป กลิ่นอับกลับมาแน่นอน ส่วนการล้างแอร์แบบไม่ถอดตู้จะมีการตกค้างของน้ำ เว้นแต่ว่าเครื่องล้างตู้แอร์มีโปรแกรมดูดฝุ่นดูดน้ำ การตกค้างจึงหมดไป
- ความเข้าใจผิด การล้างตู้แอร์ยุ่งยากต้องถอดรื้ออุปกรณ์ ใส่กรองแอร์สะดวกที่สุด ก็เหมือนกรองอากาศที่กรองฝุ่นไม่ให้เข้าห้องเผาไหม้ กรองแอร์ช่วยดักฝุ่นก็จริง แต่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเรื่องคราบวุ้นในตู้แอร์ เรื่องกลิ่น เรื่องเชื้อโรค และต้องเปลี่ยนเมื่อถึงกำหนดเวลา เช่น ทุก 5,000 กม. ถ้าไม่เปลี่ยน ลมจะผ่านกรองแอร์เข้าตู้แอร์ไม่สะดวก ลมก็ต้องตีกลับ คอมแอร์จึงทำงานหนักขึ้น อีกอย่าง กรองแอร์ไม่ได้มีสำหรับรถทุกรุ่น ราคาก็ยังนับว่าสูงอยู่ ถ้าต้องเปลี่ยนบ่อยๆ ปีหนึ่งคิดเป็นเงินหลายตังค์อยู่นะ
- ความเข้าใจผิด เอาตู้แอร์มาล้างข้างนอกต้องสะอาดกว่า ค่าแรงก็ไม่แพง และยังได้เติมน้ำยาแอร์ด้วย การถอดตู้มาล้างข้างนอกต้องแวคเอาน้ำยาแอร์ออก และเติมใหม่เมื่อประกอบกลับ การถอดมาล้างข้างนอกต้องคำนึงถึงความชำนาญของช่างด้วย ยิ่งรถรุ่นใหม่ๆ รื้อยากขึ้น การออกแบบรถรุ่นใหม่เหมาะกับการล้างตู้แอร์แบบไม่ถอดตู้ นอกจากนี้ สารทำความสะอาดที่ใช้ควรจะเป็นสารที่ไม่กัดกร่อนคอยล์เย็น ที่ค่าแรงถูก ต้องคำนึงด้วยว่าเขาใช้น้ำยาอะไร และยังต้องเปลี่ยนอะไหล่ คือ ไดเออร์ และ เพรสเชอร์วาลว์ เพราะเมื่อแวคน้ำยาแอร์ออก ความชื้นจะเข้าตามท่อแอร์ทันที ถ้าไม่เปลี่ยนอะไหล่ทั้งสองตัว ความชื้นจะแทนที่น้ำยาแอร์ มีผลกับการทำงานของแอร์ และเสี่ยงกับการเกิดสนิมในท่อแอร์ ถ้ารั่วต้องเปลี่ยนท่อ ราคาไม่ถูก คิดง่ายๆ ถึงช่างจะบอกว่าค่าแรงไม่แพง แต่เมื่อต้องจ่ายค่าอะไหล่ที่ต้องเปลี่ยน เบ็ดเสร็จหลายพันบาท แต่ถ้าประหยัดเชื่อช่างแอร์ไม่ยอมเปลี่ยนอะไหล่ เพราะเข้าใจว่าช่างแอร์หวังดี ช่วยประหยัดเงิน ระวังให้ดี สรุปว่าถ้า แอร์เป็นแบบแขวน หรือไม่เคยล้างมานานปี ควรล้างแบบถอดตู้ดีกว่า จะได้ตรวจสภาพตู้แอร์ด้วย แต่ถ้าเป็นรถใหม่ หรือ รถที่ล้างแอร์เป็นประจำปีละ 1 ครั้ง ล้างแบบไม่ถอดตู้ ไม่วุ่นวายดี ประหยัดงบอีกด้วย
- ความเข้าใจผิด กลิ่นเหม็นนิดเดียว ทำไมต้องเสียเงินแพงๆ วางน้ำหอมปรับอากาศหน้าช่องแอร์ เท่านี้หอมทั่วทั้งรถ น้ำหอมที่ลงทุนซื้อมาก็สมชื่อ ช่วยสร้างกลิ่นหอม หลายคนเลือกกลิ่นตามชอบ บางคนเลือกกลิ่นแรงๆ จะได้กลบกลิ่นเหม็นอับ บางคนวางพิมเสน การบูร พวกนี้เป็นสารระเหย เชื่อหรือไม่ว่าระเหยแล้วไม่ได้หายไปไหน เคย มีตู้แอร์มาถอดล้าง ปรากฏว่าแผงคอยล์มีคราบเหนียวเต็มไปหมด ทำให้ฝุ่นเกาะได้ดีมากขึ้น ล้างออกยากขึ้น เคยคิดเล่นๆ ขนาดตู้แอร์ยังมีคราบเหนียวเกาะแบบนี้ แล้วระบบทางเดินหายใจของเราจะมีคราบแบบนี้เกาะด้วยหรือเปล่า